
สธ.เตือนเข้าป่าชมฝนดาวตกระวังไรอ่อนกัดที่ลับ คนกรุงส่อแห้วอดชม นักดาราศาสตร์ชี้เมฆเยอะ (ข่าวสด)
เมื่อ วันที่ 16 พ.ย. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงฤดูหนาว คาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ เดินป่าหรือตั้งเต็นท์พักแรมในป่าเขา สัมผัสอากาศหนาว อีกทั้งในวันที่ 17-18 พ.ย. จะมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ และวันที่ 13 ธ.ค. จะมีฝนดาวตกเจมินิดส์ คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางไปพักแรมในป่าเขา เพื่อชมปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าว หากเข้าไปในเขตพื้นที่เป็นแหล่งอาศัยของไรอ่อน และบังเอิญถูกไรอ่อนหรือไรแดง (Chigger) ที่มีเชื้อก่อโรคสครับ ไทฟัส กัด จะทำให้ป่วยเป็นโรคสครับ ไทฟัส (Scrub typhus) หรือโรคไข้รากสาดใหญ่ได้
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า จากรายงานการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 ต.ค. 52 มีผู้ป่วยเป็นโรคสครับไทฟัส เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ 4,197 ราย เสียชีวิต 6 ราย โดยภาคเหนือมีอัตราป่วยสูงสุด พบ 20 คนในประชากรแสนคน รองลงมาได้แก่ภาคใต้ 7 คนในประชากรแสนคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 คนในประชากรแสนคน และภาคกลาง 2 คนในประชากรแสนคน
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ขอแนะนำนักท่องเที่ยวเดินป่า หากจะกางเต๊นท์พักแรม ควรทำบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนกับพื้นดินติดบริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือที่หญ้าขึ้นรก เนื่องจากเป็นที่อาศัยของตัวไรอ่อน ในการป้องกันตัวไม่ให้ไรอ่อนกัด ขอให้แต่งตัวให้รัดกุมมิดชิด ใส่กางเกงขายาวเสื้อแขนยาวปิดคอ เหน็บปลายเสื้อเข้าในกางเกง ใส่รองเท้าและสวมถุงเท้ายาวหุ้มปลายขากางเกงไว้ และทายากันแมลงตามแขนขาส่วนที่พ้นจากเสื้อผ้า เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวพักแรมในป่า ขอให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และซักเสื้อผ้าที่ใช้มาแล้วให้สะอาด เพื่อกำจัดตัวไรที่อาจติดมากับเสื้อผ้า
นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ กล่าวว่า โรคสครับไทฟัส เป็นโรคติดต่อในสัตว์ฟันแทะที่อยู่ในป่า เกิดจากเชื้อริกเกตเซีย (Rickettsia) ซึ่งอยู่ในตัวไรอ่อน ที่อาศัยอยู่ตามตัวของสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระแต กระจ้อน เมื่อตัวไรอ่อนดังกล่าวไปกัดคน มักจะเข้าไปกัดในบริเวณร่มผ้า และปล่อยเชื้อริกเกตเซียเข้าสู่คน หลัง ถูกกัดประมาณ 10 -12 วัน จะมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้ อาเจียน หูอื้อ เหงื่อออก หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว บางรายอาจมีอาการปวดน่อง ตาแดง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ มีตับโต ม้ามโต โดยผู้ที่ถูกไรอ่อนกัดประมาณร้อยละ 30 - 40 จะมีแผลบุ๋มสีดำ ลักษณะคล้ายโดนบุหรี่จี้ แต่ไม่เจ็บ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ หลังมีไข้ประมาณ 4-5 วันบางรายจะมีผื่นนูนแดงตามตัว กระจายไปแขนขา ซึ่งจะหายไปใน 2-3 วัน บางรายอาจมีอาการทางปอด ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการสมอง คอแข็ง เสียชีวิตได้ ดังนั้น หาก มีอาการเหล่านี้หลังกลับออกจากเที่ยวป่า ภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการไปเที่ยวป่าให้แพทย์ทราบด้วยเพื่อรับการรักษาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้อาการรุนแรงถึงชีวิต ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งมียารักษาโรคนี้หายขาด
ด้าน นายบุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ต้องการชมปรากฏการฝนดาวตกลีโอนิดส์ ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาหลังเที่ยงคืนวันที่ 17 พ.ย. ต่อเนื่องจนถึงช่วงเช้ามืดของวันที่ 18 พ.ย.นี้นั้น มีคำแนะนำเบื้องต้นว่า ควรจะหาพื้นที่ท้องฟ้าโปร่งไม่มีเมฆบัง รวมทั้งห่างไกลจากบริเวณที่มีแสงสว่างมาก ๆ เพื่อจะทำให้การดูฝนดาวตกมีความชัดเจนมาก อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าในระยะ 2-3 วันนี้จะมีเมฆบางส่วนในบางพื้นที่ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการดูปรากฎการณ์ดาวลีโอนิดส์ตกบ้าง แต่ก็เชื่อในหลายพื้นที่จะสามารถมองเห็นฝนดาวตกได้อย่างชัดเจน
นายบุญรักษา กล่าวต่อว่า สำหรับการตกของฝนดาวตกลีโอนิดส์ครั้งนี้จะยังไม่ใช่ปรากฎการณ์ฝนดาวตกครั้ง สุดท้ายในปีนี้ เพราะประมาณวันที่ 13-14 ธ.ค.ก็จะมีปรากฎการณ์ฝนดาวตกเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นฝนดาวตก เจมีนิดส์ ซึ่งผู้ที่พลาดการชมในครั้งนี้จะสามารถติดตามได้อีกครั้ง หนึ่ง ถึงแม้จะมีปริมาณการตกไม่มากเท่ากับการตกของฝนดาวตกลีโอนิดส์ก็ตาม และหลังจากปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ในปีนี้แล้ว อยากให้ประชาชนติดตามชมปรากฎการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งใน ต้นปีหน้า วันที่ 15 ม.ค. 53 ซึ่งจะเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ และตื่นเต้นที่สุดอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อต้นปี 52 ที่ผ่านมา
"สำหรับคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ก็อาจจะมีโอกาสมองเห็นฝนดาวตกได้ยากหน่อย เพราะนอกจากอาจจะมีเมฆมาบังแล้ว แสงนีออนจากไฟฟ้าในเมืองก็เป็นอุปสรรคสำคัญด้วย ทางทีดีหากต้องการดูปรากฎการณ์นี้จริงๆ คงจะต้องออกมาหาพื้นที่ไกลออกไปสักหน่อยเพื่อจะได้เห็นได้ชัดเจน" นายบุญรักษา กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

