วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เชิญชวนฝากบ้านกับตำรวจช่วงปีใหม่

ฝากบ้านไว้กับตำรวจ



ดึงนรต.หญิงออกตรวจฝากบ้านกับตร.ช่วงปีใหม่ (คมชัดลึก)

          ในขณะที่คนส่วนใหญ่หลั่งไหลออกไปรับลมหนาวจากยอดดอย ดื่มด่ำกับทะเลหมอกขาวนวลเย็นตา คนอีกกลุ่มก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาดูแลบ้านช่องห้องหอ ที่ปล่อยทิ้งร้างไร้ผู้คนชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยไม่ใส่ใจว่าปีใหม่นี้เขาและเธอจะได้มีเวลาฉลองส่งความสุขเฉกเช่นคนอื่น ๆ หรือไม่ !?! 

          โครงการฝากบ้านกับตำรวจช่วงเทศกาลส่งท้ายปี 52 ต้อนรับปี 53 ที่กำลังจะมาถึงมีความพิเศษต่างไปจากปีก่อน ๆ เล็กน้อย เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะนำนักเรียนนายร้อยหญิง (นรต.หญิง) มาเข้าร่วมโครงการตรวจตราและสอดส่องดูแลบ้านเรือนที่เข้าร่วมโครงการเสมือน หนึ่งนักเรียนตำรวจชายและตำรวจโรงพัก

          พล. ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษก สตช. บอกว่า โครงการฝากบ้านกับตำรวจช่วงปีใหม่เริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถโทรศัพท์ไปยังสถานีตำรวจท้องที่รับผิดชอบได้ตลอดเวลา แล้วแจ้งความประสงค์ได้ทันที ข้อมูลทั้งหมดจะเป็นความลับ พร้อมกันนี้จะมีการแนะนำการปฏิบัติที่จำเป็นก่อนออกเดินทาง หลังจากนั้นผู้กำกับการหัวหน้าสถานีจะเป็นคนกำหนดแผนการต่าง ๆ โดยตำรวจทุกนายที่ประจำอยู่ในพื้นที่ ห้ามลาห้ามขาดและห้ามหยุด ตั้งแต่ระดับ ผกก., รอง ผกก., สว., พนักงานสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่ธุรการ จะต้องเข้าร่วมแผนป้องกันเหตุทุกนาย

          สำหรับพื้นที่ไหนที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมาก มีบ้านหลายหลังต้องดูแลตรวจตรา สตช.จะดึงกำลังพลจากท้องที่ใกล้เคียงที่มีบ้านเข้าโครงการไม่มาก พร้อมกันนี้ก็จะนำ นรต.ทั้งชายและหญิงเข้ามาช่วยเสริม โดยในส่วนของ นรต.หญิงจะปฏิบัติหน้าที่เหมือนกับตำรวจทุกประการ เวลาปฏิบัติงานจะสวมใส่เครื่องแบบตำรวจหญิง คนไหนขี่รถจักรยานยนต์ไม่เป็นก็จะให้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สายตรวจ หรือถ้าคนไหนขี่รถจักรยานยนต์ได้ก็จะให้ทำหน้าที่ขี่รถด้วย เพื่อให้กำลังพลมีความพร้อมและใช้ศักยภาพอย่างเต็มขีดความสามารถ

          "โครงการฝากบ้านกับตำรวจไม่ใช่เป็นการรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุลักทรัพย์ แต่ตำรวจจะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อดูแลไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น บ้านที่เข้าโครงการจะได้รับการตรวจตราเป็นพิเศษ ส่วนผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมก็ไม่ใช่ว่าตำรวจจะไม่ตรวจตรา แต่อาจจะไม่ถี่เท่า" พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าว

          ด้วยความเป็นผู้หญิง ภาพลักษณ์ของความนุ่มนวลอ่อนโยน จะสามารถเข้ากันได้ดีกับคนชราและเด็ก ที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพัง นรต.หญิงจะเข้าไปสอบถามสารทุกข์สุกดิบ ให้ความมั่นใจอบอุ่นใจว่าตำรวจจะเป็นที่พึ่งพิงได้ยามเดือดร้อน ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

          ข้อมูลที่ สตช.รวบรวมไว้ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2552 มีผู้เข้าร่วมโครงการฝากบ้านกับตำรวจ 2,011 หลัง แบ่งเป็นอยู่ในความดูแลของ บช.น. 1,728 หลัง และตำรวจภูธรภาคอื่น ๆ อีก 283 หลัง ในกรุงเทพฯ พื้นที่ บก.น.2 มีประชาชนฝากบ้านไว้มากที่สุด 423 หลัง ครอบคลุมพื้นที่ สน.บางซื่อ สน.สุทธิสาร สน.พหลโยธิน สน.เตาปูน สน.ประชาชื่น สน.คันนายาว สน.โคกคราม สน.บางเขน สน.ทุ่งสองห้อง สน.ดอนเมือง และ สน.สายไหม ส่วนสถานีตำรวจที่มีประชาชนฝากบ้านไว้มากที่สุด คือ สน.บางเขน 76 หลัง รองลงมาได้แก่ สน.โชคชัย 68 หลัง ส่วนในต่างจังหวัดและปริมณฑลจังหวัดที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมากที่สุด คือ สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ลพบุรี และนครปฐม

          "ถาวร วุฒิสงค์" หญิงสาววัย 30 ปี บอกว่า ช่วงปีใหม่คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ก็อยากกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงทรัพย์สินในบ้าน เพราะของมีค่าบางอย่างไม่สามารถนำติดตัวไปได้ ตอนแรกเข้าใจว่าตำรวจสร้างภาพ กระทั่งตัดสินใจเข้าร่วมโครงการจึงขอเบอร์โทรศัพท์ตำรวจที่รับผิดชอบและ สถานีตำรวจที่รับผิดชอบ พอไปต่างจังหวัดตำรวจก็ติดต่อกลับมาบอกว่า ได้ไปตรวจสอบบ้านให้เรียบร้อยแล้ว ดูภายนอกปกติดี ไม่พบร่องรอยงัดแงะก็สบายใจ

          "อยากให้ประชาชนเข้าโครงการนี้เยอะ ๆ เพราะตำรวจไม่ได้หลบงาน เจ้าของบ้านสามารถตรวจสอบได้ว่า ตอนนี้บ้านเราเป็นอย่างไรบ้าง มีความผิดปกติหรือไม่ นอกจากนี้ เรายังฝากเพื่อนข้างบ้านไว้ด้วย เวลาตำรวจไปตรวจสอบเขาก็ขออนุญาตปีนไปส่องดูประตูหลังบ้านว่า มีร่องรอยงัดแงะหรือเปล่า รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น" ถาวร กล่าว

          "ปกติแล้วช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนจะเข้าร่วมโครงการฝากบ้านกับตำรวจน้อยกว่า ช่วงสงกรานต์ อย่างไรก็ตามปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่ต้องทิ้งบ้านโดยไม่มีใครเฝ้า หรือมีเด็กและคนชราอยู่ตามลำพัง ขอให้เข้าโครงการฝากบ้านกับตำรวจ ทุกสถานีตำรวจมีความยินดีและพร้อมให้บริการประชาชนอย่างเต็มที่" พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษก สตช.กล่าวทิ้งท้าย

          ไม่แน่ปีใหม่ปีนี้เราอาจจะได้เห็น นรต.หญิงท่าทางทะมัดทะแมงควบมอเตอร์ไซค์สายตรวจแวะไปที่บ้านก็ได้ !?!


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


เตือนสมองอักเสบจาก ค้างคาวแม่ไก่

ค้างคาวแม่ไก่

ค้างคาวแม่ไก่



เตือนสมองอักเสบจาก ค้างคาวแม่ไก่ (เดลินิวส์)

          ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤกษาดี นักวิชาการประจำศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในทีมงานของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ร่วมทำการศึกษาวิจัยเรื่อง "การศึกษาโรคสมองอักเสบอุบัติใหม่ที่เกิดจากไวรัสนิปาห์ในค้างคาวไทย" จากการสนับสนุนของฝ่ายวิชาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้แถลงในงานเสวนาทางวิชาการ "โลกร้อน โรคร้าย โรคติดต่อที่ต้องติดตาม" ว่ากลไกการแพร่เชื้อไวรัสนิปาห์จากค้างคาวอาจเกิดในฤดูกาลเช่นเดียวกับฤดูกาลระบาดในคน

          ไวรัสนิปาห์ ถูกพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 ที่ประเทศมาเลเซีย การติดต่อของเชื้อไวรัสดังกล่าวก่อให้เกิดโรคสมองอักเสบ ที่มีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 40 นอกจากนี้ยังมีการระบาดของโรคที่ประเทศบังกลาเทศอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา โดยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 70 ทั้งนี้ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสนิปาห์จะมีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาเจียน จนถึงอาการหนักคือสมองอักเสบ โดยอาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย 

          จากการศึกษาความสัมพันธ์ของการแพร่เชื้อไวรัสนิปาห์ในค้างคาวแม่ไก่กับฤดู กาลของ ดร.สุภาภรณ์และคณะ โดยเก็บ ตัวอย่างเยี่ยวค้างคาวในพื้นที่ศึกษา รวม 7 แห่ง ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระบุรี สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง แล้วนำมาตรวจหาเชื้อไวรัสโดยวิธีทางอณูชีววิทยา พบเชื้อไวรัสนิปาห์ในทุกพื้นที่ศึกษาระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน และพบมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม โดยเชื้อที่พบมี 2 สายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่พบในมาเลเซียและบังกลาเทศ นอกจากนี้ยังพบว่าการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับฤดู ผสมพันธุ์ ในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูกาลผสมพันธุ์ที่พบลูกค้างคาวหัดบิน 

          นับเป็นการค้นพบกลไกการแพร่เชื้อไวรัสในค้างคาวครั้งแรกของโลกที่ยืนยันว่า เชื้อไวรัสนิปาห์แพร่กระจายจากเยี่ยวค้างคาวเฉพาะฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับการระบาดในประเทศบังกลาเทศ ซึ่งประเทศไทยก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรคไวรัสนิปาห์ได้เช่นกัน หากคนสัมผัสกับเยี่ยวหรือน้ำ ลายค้างคาวโดยตรง หรือสุกรได้รับเชื้อจากสิ่งคัดหลั่งของค้างคาวและแพร่มาสู่คน อย่าง ไรก็ตามข้อมูลการค้นพบฤดูกาลแพร่เชื้อจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้องในการดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคนี้ในประเทศไทยต่อไป

          แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีการค้นพบเชื้อ ไวรัสนิปาห์ในหมู่คนไทยรวมทั้งในสุกร จากการสำรวจของกรมปศุสัตว์เป็นประจำทุกปี แต่เมื่อมีการค้นพบเชื้อดังกล่าวในค้างคาว ย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้คนไทยควรเพิ่มความระมัดระวัง เพราะขณะนี้ยังไม่มีวัคซีน หรือยาใดที่รักษาได้ผลโดยตรง

          ทั้งนี้หากสัมผัสสิ่งคัดหลั่งจากค้างคาว ได้แก่ เยี่ยว น้ำลาย เลือด หรืออวัยวะภายใน รวมทั้งถูกค้างคาวกัดหรือข่วนจะต้อง รีบล้างส่วนที่สัมผัสด้วยน้ำสบู่นาน 10-15 นาที หากมีแผลในบริเวณที่สัมผัสหรือ ถูกค้างคาวกัด ให้ล้างแผลด้วยน้ำสบู่ 10-15 นาที แล้วไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้อง กันโรคพิษสุนัขบ้า เช่นเดียวกับเมื่อถูกสุนัขกัด เพราะค้างคาวอาจนำโรคพิษสุนัขบ้ามา สู่คนได้ 

          " ประชาชนไม่ควรบริโภคหรือชำ แหละค้างคาว ไม่รับประทานผลไม้ที่มีรอยกัดแทะของค้างคาว และควรทัศนศึกษา ดูค้างคาวด้วยความระมัดระวังและดูในฤดูกาลที่ถูกต้อง โดยงดชมในช่วงเช้าเนื่องจาก ค้างคาวจะถ่ายมาก ฤดูกาลที่ควรระมัดระวัง มากที่สุดคือ เมษายน-พฤษภาคม รวมทั้งเพิ่มการเฝ้าระวังสุกรในพื้นที่เสี่ยงที่มีแหล่งอาศัยของค้างคาว และสวนผลไม้ที่ค้างคาวไปกินเป็นอาหารในฤดูกาลแพร่เชื้อมาก" ดร.สุภาภรณ์กล่าว



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



แม่วิศวกร หันพึ่ง จิ๋ว-แม้ว ช่วยลูกชาย

นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี
นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี

 

"มาร์ค"ชี้แม่วิศวกรพึ่ง"พท."เป็นสิทธิ์ (คมชัดลึก)

         นายกฯ "อภิสิทธิ์" ระบุ รัฐบาลพร้อมช่วย"ศิวรักษ์" เผย แม่วิศวกรหันพึ่งพรรคเพื่อไทยก็เป็นสิทธิ์ทำได้ ด้าน "สิมารักษ์" หันพึ่ง "จิ๋ว-แม้ว" ช่วยลูกชาย เตรียมขออภัยโทษไม่คิดอุทธรณ์ จวก "คำรบ" ต้นเหตุลูกชายรับกรรม จี้ออกมารับผิดชอบ ครวญหัวใจแทบสลาย ทนเห็นถูกชายถูกพันธนาการต่อหน้าต่อตา 

         (9 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี และปรับ 100,000 บาทนั้น ทุกอย่างทางครอบครัวของนายศิวรักษ์จะเป็นผู้ตัดสินเอง ทางรัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนกรณีที่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม แม่ของวิศวกรหันไปพึ่งพรรคเพื่อไทยนั้นก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้

         ทั้งนี้ต้องเคารพการตัดสินของศาล กัมพูชา และที่แม่ของนายศิวรักษ์เรียกร้องให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิชัย เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชา ออกมารับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นายศิวรักษ์เองก็ให้การต่อศาลไปแล้วว่า ข้อมูลนั้นไม่ได้เป็นความลับ ไม่กังวลว่าเพื่อไทยจะนำเรื่องนี้ไปขยายผล และไม่หวั่นจะเป็นเกมการเมือง

         ด้านนายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ถูกศาลเขมรพิพากษาลงโทษจำคุก 7 ปีว่า  การต่อสู้คดีขั้นต่อไปก็แล้วแต่ทางครอบครัวของนายศิวรักษ์ และที่กัมพูชาก็มีเจ้าหน้าที่ของไทยอยู่ที่นั่น ทางสถานทูตพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี



         ก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 17.00 น.วานนี้ (8ธ.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังทราบผลการตัดสินของศาลกัมพูชาคดีของนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย โดยนางสิมารักษ์ ณ นครพนม ได้โฟนอินมาร่วมแถลงข่าวกับนายพร้อมพงศ์ด้วย

         นางสิมารักษ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ จากนี้ไปคงไม่มีที่พึ่งไหนแล้ว อยากขอความช่วยเหลือจากพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ช่วยลูกชายให้ได้รับอิสรภาพ โดยการขอพระราชทานอภัยโทษให้ ทั้งนี้นายพร้อมพงศ์ ได้กล่าวว่า ขอให้นางสิมารักษ์คัดสำเนาคำพิพากษาส่งมาให้พรรคเพื่อไทย เพื่อนำมาหารือกับทางฝ่ายกฎหมาย พล.อ.ชวลิต และนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ

         จากนั้นนางสิมารักษ์ กล่าวว่า ได้คุยกับทนายแล้วว่าจะทำสำเนาในวันที่ 9 ธ.ค. ฝากเรียนพล.อ.ชวลิตอีกครั้งให้ช่วยตน และลูกด้วย เพราะสภาพจิตใจของตนตอนนี้สุดๆแล้ว ยิ่งเห็นลูกถูกพันธนาการ น้ำตามันกลั้นไม่อยู่ ทุกคนคงได้ยินคำพิพากษาแล้ว สื่อมวลชนก็คงได้ฟังด้วย นายศิวรักษ์พูดหมดเปลือก

         "สิ่งที่อดกลั้นมานาน และไม่เคยปริปากพูดหรือขอร้อง วันนี้เมื่อทุกคนทราบข้อเท็จจริงแล้ว อยากฝากถามนายคำรบ ปาลวัฒน์วิชัย เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชา ว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน ถ้าไม่โทรศัพท์มาหาลูกชาย ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ขอให้ออกมารับผิดชอบด้วย ที่ผ่านมาไม่เคยพูดว่าใครเป็นต้นเหตุให้ลูกต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่วันนี้ลูกอยู่ในสภาถูกใส่กุญแจมือ รับไม่ได้ ทำใจไม่ได้จริงๆ ศิวรักษ์เป็นผู้บริสุทธิ์ จะให้เขารับผิดชอบแทน คุณคำรบ ออกมาแสดงความรับผิดชอบสักหน่อย น้องเขาอยู่ที่เรือนจำเกือบ 30 วันแล้ว ถ้าใครมาเห็นสภาพตอนนี้ แม้แต่แม่เองก็ยังทนไม่ไหว" นางสิมารักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

         ผู้สื่อข่าวถามว่า ทนายความจะยื่นขอพระราชทานอภัยโทษทันทีเลยหรือไม่ นางสิมารักษ์ กล่าวว่า ยังไม่คุยรายละเอียด แต่อยากให้ทุกฝ่ายให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นจะไม่ยื่นอุทธรณ์คดีจะได้ไม่ยืดเยื้อออกไปอีก เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศก็จะยื่นพระราชทานอภัยโทษให้ด้วยเช่นกัน นางสิมารักษ์ กล่าวว่า จะหารือกับทนายก่อน เพราะเวลานี้ฝากความหวังไว้ที่ทนาย พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ขณะนี้มีความขัดแย้งมาก ไม่อยากให้ใช้นายศิวรักษ์มาเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง เราเป็นคนไทยด้วยกันช่วยกันดีกว่า อยากให้สงสารครอบครัวตนด้วย

         เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถช่วยเหลือได้ใช่หรือไม่ นางสิมารักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศมีความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าได้ ตนคำนึงถึงอิสรภาพของลูกก่อนอื่น เพราะคนที่มีปัญหากันแล้วไปเจรจากัน โอกาสที่จะได้คุยกันก็คงลำบาก

         นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า วันนี้มีการประชุมคณะยุทธศาสตร์และการเมืองของพรรคมีการนำเรื่องนี้มาหรือ ยืนยันจะให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชา เคารพการตัดสินของกัมพูชา แต่จะขอความอนุเคราะห์จากสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้ขอพระราชทานอภัยโทษให้

         "ขอกราบวิงวอนนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นขั้วไหนอย่านำความช่วยเหลือตรงนี้ไป บิดเบือนเป็นประเด็นการเมือง จากนี้จะรอสำเนาคำพิพากษาของศาลเพื่อมาหารือกับฝ่ายกฎหมาย และพล.อ.ชวลิต และนายนพดลต่อไป" นายพร้อมพงศ์ ย้ำ

         โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นางสิมารักษ์ยังฝากบอกตนว่าหากกระทรวงการต่างประเทศอยากช่วยเหลือ ก็ขอให้อยู่นิ่งๆ รวมทั้งนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ก็ขอให้อยู่นิ่งๆ และตอนนี้นางสิมารักษ์ก็ไม่ขอพักในโรงแรมที่ทางกระทรวงการต่างประเทศจัดให้ ด้วย

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เฮ! คริสต์มาส-ปีใหม่ ขึ้นมอเตอร์เวย์ฟรี

ทางด่วน



เฮ! คริสต์มาส-ปีใหม่ ขึ้นมอเตอร์เวย์ฟรี (ข่าวสด)

          เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 นี้ กรมทางหลวงได้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ในการสัญจร ที่จะเดินทางตั้งแต่เวลา 16.00 น.วันที่ 25 ธ.ค. 2552 ถึง เวลา 16.00 น.วันที่ 4 ม.ค.2553 ฟรี โดยผู้ใช้ทางไม่ต้องเสียค่าผ่านทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แม้ว่าการยกเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทางดังกล่าวจะทำให้กรมทางหลวงสูญเสียราย ได้กว่าวันละ 10 ล้านบาท/วัน รวม 11 วันประมาณ 110 ล้านบาทก็ตาม แต่เพื่อประชาชนที่เดินทางในช่วงวันดังกล่าวที่มีปริมาณมากได้รับความสะดวก มากที่สุด

          "การยกเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทางในครั้งนี้ จะมีระยะเวลาที่ยาวนานมากกว่าปีอื่น ๆ เนื่องจากเป็นตามนโยบายของ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ที่ต้องการให้ปี 2553 เป็นปีแห่งความปลอดภัย และสะดวกสบายในการเดินทาง" นายวีระ กล่าว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก