วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ ลั่นเลิก หวยออนไลน์ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

อภิสิทธิ์

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยรัฐ และ เดลินิวส์

          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เมื่อวันที่ 10 มกราคม ถึงกรณีการยกเลิกการจำหน่ายหวยออนไลน์ ว่า ตั้งแต่ก่อนการเป็นนายกรัฐมนตรี ตนได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่าไม่สนับสนุนเรื่องการพนัน หรือการเล่นหวย หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นการมอมเมาประชาชน ทั้งนี้ อยากให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ เรื่องที่มีคนเคยบอกว่าอะไรที่ทำผิดกฎหมายแล้วจะทำให้ถูกกฎหมาย ตนอยากให้เราใช้ประสบการณ์จากกรณีการออกหวยบนดินมาเป็นตัวอย่าง ว่ามันขัดกับข้อกฎหมาย

          "นอกจากนี้ ยังมองว่าไม่ใช่ประเด็นการแก้ไขปัญหาหวยใต้ดิน เนื่องจากอาจจะลดจำนวนผู้เล่นหวยใต้ดินลงได้บ้าง แต่เมื่อเทียบกับคนที่มาเล่นหวยแล้วยังมีจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเริ่มหันมาเล่นหวยเพิ่มมากขึ้นเท่าตัว ซึ่งรัฐบาลไม่ประสงค์ที่จะมีรายได้จากการนำหวยใต้ดินมาเป็นรายได้ของรัฐบาล" อภิสิทธิ์ กล่าว

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตลอด 1 ปี ที่รัฐบาลดำเนินงานมา ไม่ได้นิ่งเฉยต่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งให้ทางกระทรวงการคลัง ไปเจรจากับบริษัทคู่สัญญาว่าจะดำเนินการอย่างไร และสามารถที่จะหาข้อตกลงใหม่มาทดแทนการที่ไม่ต้องออกหวยออนไลน์ได้หรือไม่ และสามารถนำเอาเครื่องออกหวยออนไลน์ที่ได้จัดเตรียมไว้ไปทำเป็นอย่างอื่นได้ หรือไม่  อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจยกเลิกการจำหน่ายหวยออนไลน์ครั้งนี้ เป็นการตัดสินเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะรายได้มหาศาลที่อาจเกิดขึ้นมานั้น ไม่คุ้มกับผลกระทบทางสังคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปข้างหน้า


หวยออนไลน์

หวยออนไลน์

          ทางด้าน ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ความสนใจและปัญหาของนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง ต่อการเล่นหวยออนไลน์ กรณีศึกษาตัวอย่างนักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 1,958 ตัวอย่าง โดยดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 8-9 ม.ค. 2553 ว่า เด็กนักเรียน และผู้ปกครอง ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 และกว่าร้อยละ 90 ทราบข่าวเกี่ยวกับหวยออนไลน์ผ่านสื่อมวลชน แต่ ที่น่าเป็นห่วงคือ ถ้ามีหวยออนไลน์เกิดขึ้นในสังคมไทย ส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.1 และร้อยละ 59.1 สนใจที่จะเล่น นอกจากนี้ร้อยละ 59.0 ของกลุ่มผู้ปกครองและร้อยละ 60.0 ของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาคิดว่าจะทำให้เด็กและเยาวชนมาเล่นหวยออนไลน์มากขึ้นด้วย

          "ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละ 68.3 และร้อยละ 66.2 คิดว่า ถ้าเล่นแล้วจะทำให้ติด และอยากเล่นต่อไป โดยมีปัจจัยสำคัญคือ ความง่ายในการเล่น คนไทยชอบเสี่ยง เจ้าหน้าที่รัฐไม่กวดขันจริงจัง รูปแบบการเล่นที่ทันสมัยและการโฆษณา สิ่งที่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน นักศึกษาเป็นห่วงปัญหาต่าง ๆ จะเกิดขึ้นตามมาถ้าเด็กและเยาวชนมีการเล่นหวยกันมากขึ้น อันดับแรกคือ ร้อยละ 58.1 และ 63.3  เป็นห่วงกังวลปัญหาแหล่งพนัน อบายมุขมากขึ้น รองมาคือ ร้อยละ 56.1 และ 41.7 ห่วงปัญหาการโจรกรรมทรัพย์สิน ที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 58.4 และ 49.0 ของผู้ปกครองสนับสนุนรัฐบาลให้ต่อสู้คดีความกับบริษัทเอกชนเพื่อไม่ให้มี หวยออนไลน์เกิดขึ้นในสังคมไทย ขณะที่ร้อยละ 38.8 ของเด็กนักเรียนนักศึกษา และร้อยละ 41.5 ของผู้ปกครองคิดว่ารัฐบาลควรยอมให้มีหวยออนไลน์" ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพล กล่าว
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 

ลีเดีย สวยสดใส สะเด็ดเด้ง

ลีเดีย


เพ้อ "ลีเดีย" สะเด็ดเด้ง (ไทยรัฐ)

           สวย สะเด็ด เผ็ดร้อน ต้อนรับ "ปีเสือ" ขยี้ตามองแล้วมองอีกแทบไม่เชื่อสายตา อู้หู!! ลีเดีย เปลี่ยนไป สวยสดใสใจสปอร์ต ลุกมาโชว์ความสวย ความสาว แบบไม่เก็บให้ แมทธิว ดีน ได้ดูคนเดียว...

           ลีเดีย-ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา สวยสะเด็ด เผ็ดร้อน ต้อนรับ"ปีเสือ" ขยี้ตามองแล้วมองอีกแทบไม่เชื่อสายตา อู้หู!! ลีเดีย เปลี่ยนไป สวยสดใสใจสปอร์ต ลุกมาโชว์ความสวย ความสาว แบบไม่เก็บให้ แมทธิว ดีน ได้ดูคนเดียว เชื่อว่าภาพ ลีเดีย โพสท่ากับเครื่องบิน ในนิตยสาร MARS ช่วยดับความร้อนใจในหัวใจหนุ่มไทยได้ทั้งเมือง แต่กลับเพิ่มความร้อนใน "แววตา" เป็นแนวอิจฉาตาร้อนซะมากกว่า ว่า แมทธิว ทำบุญมาด้วยอะไร ถึงได้ใกล้ชิดกับ สาวลีเดีย?

           ถ้าเลือกได้มีแต่คนอยากลองเกิดเป็น ลีเดีย สักชาติ ผู้หญิงอะไรช่าง "เลิศเลอเพอร์เฟกต์" ที่นอกจากชาติตระกูลดี เกิดบนกองเงินกองทองของตระกูล "วิสุทธิธาดา" ตระกูลผู้ร่ำรวยจากการรับเหมาก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน คุณพ่อลีเดีย จึงตั้งชื่อลูกสาวว่า "ศรัณย์รัชต์" แปลว่า "ผู้สำเร็จในเรื่องการเงิน"


ลีเดีย mars


           ชีวิตของ ลีเดีย เลยมีแต่เรื่องน่าอิจฉา!! จับไมค์ ร้องเพลงก็ประสบความสำเร็จ น้ำเสียงสะกดใจ แฟน ๆ จนได้ฉายาว่า "เจ้าหญิงอาร์แอนด์บี"นอกจากรวยยังสวยซะด้วย ที่สำคัญ ลีเดีย มีผิวที่ขาวผ่องเหมือนไข่ปอก โดดเด่นแซงหน้าสาวผิวกระดำกระด่างเป็นไหน ๆ ความสามารถทางการกีฬาก็โดดเด่น ไม่เสียชื่อ คุณพ่อ-ไชยยันต์ วิสุทธิธาดา เป็นเจ้าของ "สนามกอล์ฟเกียรติธาดา" ย่านลาดพร้าว 71 ลีเดีย โชว์ความสามารถทางด้านการตีกอล์ฟ จนติดระดับเยาวชนมาแล้ว

          ล่าสุด ซื้อบ้านหลังใหม่ หลังละ 40 ล้าน มีรันเวย์เครื่องบินจนเป็นที่ฮือฮา!! หาว่า อดีตนายกฯ (คนสนิท) "เป็นนายทุนซื้อให้" ซึ่งข่าวกระพือ จน พ่อลีเดีย ยังฉุน บอกว่ามีปัญญาซื้อให้ลูกได้ ส่วน ลีเดีย ก็โต้ทันควันว่า "ซื้อด้วยเงินของตัวเอง" โดยบ้านเป็นชื่อของ ลีเดีย แต่ครอบครัวช่วยกันผ่อน ซึ่งที่เธอตัดสินใจซื้อบ้านสุดหรูเพราะข้อเสนอดี เจ้าของโครงการให้ เรียนบินฟรี แถมเครื่องบินเล็กให้อีก ชีวิต ลีเดีย ชอบอะไรที่ท้าทาย ในเมื่อ "ดำน้ำก็ดำได้แล้ว รถก็ขับเป็นแล้ว จะขับเครื่องบินอีกอย่างจะเป็นไร?"

           ใน เมื่อชีวิต ลีเดีย ผ่านข่าวมาอย่างโชกโชน ทั้ง "ข่าวเบนโล" ยันถูกมองว่าเป็น "กิ๊กทักษิณ" เอาตัวขัดดอก เธอก็ขอใช้ชีวิตแบบสุดขั้ว แต่ ไม่ได้มั่วซั่ว ย้ำชัดว่ากับอดีตนายกฯ เป็น "เพื่อนซี้ต่างวัย" ที่ใจตรงกัน โดย ลีเดีย เองเขียนหนังสือ "ลีเดีย เฮียร์ ไอ แอม!" ปฏิเสธทุกข่าวฉาวในเมื่อพูดแล้วยังไม่มีคนเชื่อ ลีเดีย ก็เลยเบื่อ ยิ่งเจอ หมอกฤษฎ์ หมอดู จอมคอนเฟิร์ม! ดันมาทำนายว่า "ลีเดียเบนโล" หัวอกคนเป็นแม่เลยแทบคลั่ง แม่ลีเดีย บุกฉะ หมอกฤษฎ์ กลางงาน ขู่ให้ กราบเท้าขอโทษ เพราะโกรธที่มาว่าลูกสาว จนกลายเป็นคดีความฟ้องร้องกันยาวนาน!

           ข่าวกระหน่ำเหมือนพายุ แต่ ลีเดีย ก็ยังสดใส เพราะมีกำลังใจแสนดี แมทธิว อยู่เคียงข้างไม่เคยห่าง แม้ใครจะมองว่าไม่คู่ควร แต่ ลีเดีย ก็ยืนหยัดรัก พี่แมท พาครอบครัวกระเตงไปเชียร์


ลีเดีย mars


           แมทธิว ในรายการ "ซุปเปอร์สตาร์" เกือบทุกเทป 4 ปีที่คบกันมาหวานทุกขณะ ล่าสุด ขนาดมี "คาสโนว่าตัวพ่อ" อยากลองของ เร่ขายขนมจีบ ลีเดีย ยังตอกหน้า ฟลุค-เกริกพล ซะหน้าหงาย ด้วยประโยคเด็ดโดนใจว่า "หนูมีแฟนแล้วค่ะ" ทำเอา แมทธิว หน้าระรื่น ที่ "แฟนสาว" ไม่วอกแวกแอบปันใจ!ถึงจะมี "หมอดู" หลายคน ทำนายดวงชะตาของ ลีเดีย ว่าต้องได้ "เนื้อคู่" เป็น ผู้มีบารมี เป็นนักธุรกิจใหญ่ อายุมากกว่า เรื่องหัวใจปล่อยเป็นเรื่องของอนาคต ให้เบื้องบนพิสูจน์ว่า ใครจะได้เป็นผู้คว้า "นางฟ้าลีเดีย"

           ลีเดีย มีความสามารถมากมาย เลยอยาก "ระบายความสวย" แจกจ่ายให้แฟน ๆ ดูกันแพร่หลาย ล่าสุด กระโจนลงจอแก้วโดดรับละครเรื่อง "ระบำดวงดาว" ทาง ช่อง 3 ค่ายโพลีพลัส เป็นครั้งแรก รับบทเป็นแม่ค้า ทั้งๆที่ชีวิตจริงเป็น "คุณหนู" แต่ ลีเดีย ไม่ละความพยายาม เธอสนุกกับงานที่ท้าทาย อยากเป็นแม่ค้า (ในจอ) ใจจะขาด เพราะในเรื่องมีบทให้ เต้นโคโยตี้ ด้วย ลีเดีย ดีใจ "แฟนคลับ" ต้อนรับ "นางเอกใหม่" ด้วยการทำเสื้อสกรีนว่า "นางเอก" มาให้ ลีเดีย ภูมิใจไปหลายวัน!

           ถ้ามี "มิเตอร์วัดความสวยให้สาว" คราวนี้ "ความสวย+เซ็กซี่" ของ "ลีเดีย" พุ่งกระฉูดจน มิเตอร์ แทบ ระเบิด...ดีใจด้วยที่ "ความสวยช่วยค้ำจุนโลก"...

           ชายใดที่อาภัพและอับโชค...แค่เห็นหน้า "ลีเดีย" เหมือนได้ ออกซิเจน-หัวใจเต้นกันโครมคราม!


ลีเดีย mars

ลีเดีย




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

รวม 7 วันฉลองปีใหม่ดับ 347 เจ็บ 3,827



รวม 7 วันฉลองปีใหม่ดับ 347 เจ็บ 3,827 (ไทยรัฐ)

          ฉลองปีใหม่วันสุดท้าย ตาย 38 คน รวม 7 วัน ดับ 347 คน เจ็บ 3,827 เกิดอุบัติเหตุ 3,534 ครั้ง เชียงราย เชียงใหม่ โคราช แชมป์ตาย วันละ 12 ราย ยโสธรเสียแชมป์ ดับ 1 "ชวรัตน์" ยันตัวเลขคลาดเคลื่อนไม่เกิน 10%  ...

          เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 5 มกราคม ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน ประจำวันที่ 4 มกราคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ "7 วันขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน" เกิดอุบัติเหตุ 245 ครั้ง ลดลงจากปี 2552 (275 ครั้ง) 30 ครั้ง ร้อยละ 10.91 ผู้เสียชีวิต 38 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 (32 คน) 6 คน ร้อยละ 18.75 ผู้บาดเจ็บ 264 คน ลดลงจากปี 2552 (297 คน) 33 คน ร้อยละ 11.11 

          จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 17 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา 5 คน จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 18 คน จังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ มี 19 จังหวัด จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตมี 54 จังหวัด จังหวัดที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ มี 19 จังหวัด ส่วนที่ จ.ยโสธร มีผู้เสียชีวิต 1 ราย 

          ทั้งนี้ ได้มีการจัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,716 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 70,802 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 590,237 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 67,467 ราย คิดเป็นร้อยละ 11.43 ของการเรียกตรวจ โดยมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่มากที่สุด 21,937 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 21,731 ราย 

          นายชวรัตน์ กล่าวว่า สรุป อุบัติเหตุทางถนนรวม 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 52 - 4 มกราคม. 53 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,534 ครั้ง ลดลงจากปี 2552 (3,824 ครั้ง) 290 ครั้ง ร้อยละ 7.58 ผู้เสียชีวิตรวม 347 คน ลดลงจากปี 2552 (367 คน) 20 คน ร้อยละ 5.45 ผู้บาดเจ็บรวม 3,827 คน ลดลงจากปี 2552 (4,107 คน) 280 คน ร้อยละ 6.82 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสูด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช 125 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา 12 คน จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 146 คน ไม่มีจังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุในช่วง 7 วัน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วัน มี 4 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี สกลนคร และอ่างทอง ไม่มีจังหวัดที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บในช่วง 7 วัน 

          สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมา สุรา ร้อยละ 40.46 รองลงมา ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 20.12 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.60 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 60.27 บนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 35.40 ถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 32.74 ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ กลางคืน ร้อยละ 67.46 โดยเฉพาะช่วงเวลา 16.01 - 20.00 น. ร้อยละ 29.46 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 55.61 รวม 7 วัน ตั้งจุดตรวจหลักรวม 18,852 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 483,689 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 4,587,332 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 449,673 ราย โดยมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่มากที่สุด 149,024 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 137,238 ราย  

          นายชวรัตน์ กล่าวว่าจากการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 พบว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนมีสาเหตุจากการเมาแล้วขับเป็น อันดับแรก รองลงมา ขับรถเร็ว รถจักรยานยนต์ไม่ปลอดภัย และตัดหน้ากระชั้นชิด โดยรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ถนนสายรองในเขตความรับผิดชอบของเทศบาล อบต. ถนนของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งอยู่ในพื้นที่ตำบลหมู่บ้านเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด แต่พบว่าอุบัติเหตุที่เกิดบนถนนสายรองในเขต อบต. หมู่บ้าน และชุมชน ลดลงประมาณร้อยละ 9.80 

          สำหรับข้อมูลการดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎจราจร พบว่า ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถมากที่สุด รองลงมา ไม่สวมหมวกนิรภัยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โดยวัยแรงงานเป็นกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ สูงสุด ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยง ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้กำหนดข้อเสนอเชิงนโยบายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องและจังหวัดนำข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละพื้นที่ ไปดำเนินการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาจุดเสี่ยงอันตราย กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา รวมถึงปรับแผนการดำเนินงานในช่วงปกติและช่วงเทศกาลให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ในแต่ละพื้นที่  

          ส่วนการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในกลุ่มผู้ใช้แรงงานช่วงเทศกาล ให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงแรงงานจัดระบบอำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาล โดยจัดหารถโดยสารสาธารณะรับส่งตามโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับการเสริมสร้างพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการ 365 วัน ลดการตายด้วยวินัยจราจรอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการจับกุมผู้เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว แซงในที่คับขัน และความผิดอื่น ๆ ตาม 10 ฐานความผิด นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน โดยปลูกฝังการมีจิตอาสาในการทำงานเพื่อสังคม และจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสาธารณะ 

          สำหรับปัญหาเด็กและเยาวชนดื่มสุราแล้วขี่รถจักรยานยนต์มากขึ้น ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้กลุ่มเป้าหมายรับ ทราบผลกระทบจากการเมาแล้วขับ ผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อย่างเคร่งครัด นายชวรัตน์ ให้สัมภาษณ์ว่า พอใจกับตัวเลขสถิติอุบัติเหตุและเสียชีวิตที่ลดลง ร้อยละ 5 - 7 ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ และจากนี้ในเทศกาลอื่นๆก็จะต้องให้มีการตรวจอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยจะต้องมีการรณรงค์ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และให้สติแต่ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนในการขับขี่ยานพาหนะ 

          ส่วนที่มีนักวิชาการระบุว่าตัวเลขของ ปภ. ไม่ใช่ตัวเลขสุทธิที่แท้จริงของสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่แท้จริง นั้น นายชวรัตน์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าตัวเลขที่สรุปออกมานั้นใกล้เคียงตัวเลขที่แท้จริงประมาณร้อยละ 90 ถ้าจะมีความคลาดเคลื่อนอาจจะมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามจะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

แฟรนไชส์ ,
เครื่องกรองน้ำ ,
เครื่องสำอางค์ ,
น้ำหอม ,
เปิดช็อปฟรี ,
เปิด ร้านฟรี ,
ธุรกิจแนวใหม่ ,
แฟรนไชส์ ฟรี ,

สวยสุดเมืองเหนือ กฤชกร คว้านางสาวเชียงใหม่



นางสาวเชียงใหม่



นางสาวเชียงใหม่

นางสาวเชียงใหม่

นางสาวเชียงใหม่

นางสาวเชียงใหม่

นางสาวเชียงใหม่

นางสาวเชียงใหม่

นางสาวเชียงใหม่



สวยสุดเมืองเหนือ กฤชกร คว้าน.ส.เชียงใหม่ (ไทยรัฐ)

          งาม แต๊ ๆ นิสิตรั้วจามจุรี "กฤชกร หอมบุญญศักดิ์" คว้าตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2553 พ่วงขวัญใจสื่อมวลชน อยากเผยแพร่วัฒนธรรมล้านนาไปทั่วโลก ชอบหลินปิงไปชมมาแล้วให้แต่โชค...

          เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 5 มกราคม บรรยากาศบนเวทีการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2553  มีผู้เข้ามาชมกันอย่างเนืองแน่น จนเต็มความจุ พร้อมด้วยประธานกรรมการการตัดสิน นางนุจรินทร์ จันทร์พรายศรี อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5คณะกรรมการจากทุกสาขาอาชีพจำนวน 20 คน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ต่อมาสาวงามทั้ง 22 คนได้ออกมาเดินโชว์ในชุดไทยล้านนา จากนั้นเดินโชว์ในชุดว่ายน้ำ คณะกรรมการได้ทำการคัดเลือกสาวงามจนเหลือเพียง 10 คน และให้เดินในชุดราตรี จึงคัดเหลือ 5 สาวงาม จากนั้น คณะกรรมการฯได้ตั้งคำถามให้สาวงามทั้ง 5 คน ได้ตอบเพื่อดูแนวคิด และมุมมองต่าง ๆ โดยสาวงามทั้ง 5 คนได้ตอบคำถามอย่างฉะฉานเรียกเสียงปรบมือสนั่นเวที จนถึงเวลาตัดสินคณะกรรมการลงคะแนนมติตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2553 แก่ หมายเลข 16 น.ส.กฤชกร หอมบุญญศักดิ์ อายุ 19 ปี พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท เสื้อคลุมสายสะพาย มงกุฎเพชร และถ้วยรางวัลเกียรติยศ และพ่วงตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชน

          รองอันดับ 1 ได้แก่ หมายเลข 12 น.ส.ธัญนุช สิงห์คำ 17 ปี รองอันดับ 2 ได้แก่ หมายเลข 6 น.ส.ชนันภรณ์ วงศ์ษา อายุ 23 ปี รองอันดับ 3 ได้แก่ หมายเลข 20 น.ส.อทิตยา คุณนะลา อายุ 18 ปี และรองอันดับ 4 ได้แก่ หมายเลข 13 น.ส.มัชฌิมาลา สุทธนะ อายุ 20 ปี นอกจากนี้ ตำแหน่งขวัญใจมหาชน นับจากลูกโป่งที่ได้รับ ตกเป็นของหมายเลข 6 น.ส.ชนันภรณ์ วงศ์ษา อายุ 23 ปี และยังพ่วงตำแหน่งนางงามบุคลิกภาพ

          น.ส.กฤชกร หอมบุญญศักดิ์ ชื่อเล่น น้องกิ๊ฟ อายุ 19 ปี นิสิตจากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาสตร์ปี 1 เป็นคนบ้านหนองไคร้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อได้ตำแหน่งแล้ว ต้องการเผยแพร่วัฒนธรรมล้านนาไปทั่วโลก และชอบที่สุดคือ หลินปิง ไปชมมาแล้วมีแต่โชคดี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยรัฐ, ข่าวสด

Omega-3 Serum ,
miyami ,
franchise ,
ecosway thailand ,
shop ecosway ,
ecosway shop ,
อีคอสเวย์ ,
คอสเวย์ ,
ขายตรง ,

ร้องเอาผิดเด็กปีน พระบรมธาตุเจดีย์


ร้องเอาผิดเด็กปีน พระบรมธาตุเจดีย์ (ไทยรัฐ)

          เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2553 ภายหลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนรวมทั้งนักท่องเที่ยวอย่างกว้าง ขวาง กรณีที่มีเด็กผู้ชาย 2 คน อายุประมาณ 7-10 ขวบ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ เนื้อตัวมอมแมม กำลังปีนป่ายขึ้นไปบนฐานปูนองค์พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเก็บเหรียญที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวโปรยทำบุญแก้เคล็ด

          ซึ่งประชาชนและนักท่องเที่ยวมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เป็นการลบหลู่ไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จึงมีการถ่ายภาพเด็กทั้งสองคนที่กำลังปีนอยู่บนองค์พระบรมธาตุเจดีย์ พร้อมตั้งเป็นกะทู้พร้อมภาพว่า "เหมาะสมหรือไม่" เข้าไปในเว็ปไซด์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
nakhonsithammarat.go.th โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้ามาชมและโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นใน ลักษณะไม่เหมาะสม ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พระบรมธาตุเจดีย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง กำลังมีการผลักดันขึ้นบัญชีมรดกโลก จึงไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมการกระทำของเด็กทั้งสองคน พร้อมเรียกร้องให้ทางวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร่ง ด่วน 

          ด้าน นายเฉลิม จิตรามาศ ประชาสัมพันธ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เปิดเผยว่า ยอมรับว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นเป็นประจำ แม้เจ้าหน้าที่พยายามจะดูแลตรวจสอบแต่เด็ก ๆ เหล่านี้ก็จะหาโอกาสปีนขึ้นไปเก็บเหรียญบนขอบปูนองค์พระบรมธาตุ เด็กเหล่านี้เหมือนเด็กจรจัดพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในละแวกใกล้เคียงวัดและทำ มาหากินอยู่กับวัดกับองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เช่น ขายดอกไม้ธูปเทียน ขายน้ำหรืออื่น ๆ โดยไม่สนใจว่าลูกหลานจะไปไหน ทำอะไร และเขาอาจจะคิดแคบ ๆ ว่าการกระทำของเด็กเป็นการหารายได้จุนเจือครอบครัว ในความเป็นจริงการจะขึ้นไปบนลานประทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์นั้นทาง เข้าไปทางพระวิหารม้า(วิหารทรงม้า) และมีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณ ผ่านองค์จตุคามรามเทพ ที่อยู่สองข้างบันได พื้นที่ลานประทักษิณจะใช้สำหรับให้ประชาชนเดินรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ หรือเดินใช้ผ่าโอบห่มองค์พระบรมธาตุที่เรียกว่า "แห่ผ้าขึ้นธาตุ" ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมากราบนมัสการพระ บรมธาตุเจดีย์และขึ้นไปบนลานประทักษิณเดินรอบองค์พระบรมธาตุ 3 รอบ หรือนำผ้าขึ้นไปโอบห่มองค์พระบรมธาตุซึ่งถือว่าเป็นสิริมงคลสูงสุดของชีวิต 

          นอกจากนี้ประชาชนและนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจะนำเหรียญ 1 บาท 5 บาท หรือ 10 บาท โยนไว้ตามจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะบนฐานปูนองค์พระบรมธาตุที่สูงจากพื้นฐานประทักษิณ 3-5 เมตร และอยู่เหนือขึ้นไปบนบนจุดที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวใช้ผ้าโอบห่มองค์พระ บรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นการโปรยทานให้ทานแก้เคล็ดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายในชีวิตให้หมดไป ในแต่ละวันจึงมีเหรียญอยู่ในจุดเหล่านั้นจำนวนมากอาจจะมากถึงหลายพันหลาย ร้อยบาท

          ประชาสัมพันธ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร กล่าวอีกว่า พฤติกรรมของเด็ก 2-3 คนเหล่านี้เจ้าหน้าที่เคยจับได้และนำมาว่ากล่าวตักเตือน ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะ เป็นการลบหลู่พระบรมธาตุเจดีย์ที่ด้านในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์ สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เด็กเหล่านี้ไม่สนใจและจะกระทำในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนเจ้าหน้าที่ต้องสั่งห้ามเด็กเหล่านี้ขึ้นไปบนลานประทักษิณ โดยเจ้าหน้าที่ประจำวิหารพระม้า จะคอยสอดส่องดูแล แต่เด็กเหล่านี้กลับใช้วิธีการปีนขึ้นไปทางรางระบายน้ำขึ้นไปบนหลังคาวิหาร ก่อนจะปีนต่อขึ้นไปยังลานประทักษิณองค์พระบรมธาตุเจดีย์ และไม่สนใจสายตาประชาชนและนักท่องเที่ยว

          โดยเรื่องนี้เป็นปัญหาที่หนักใจของคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของวัดเป็นอย่าง มาก ก่อนช่วงปีใหม่เจ้าหน้าที่พบและจับเด็กมาอบรมสั่งสอนพร้อมลงโทษโดยการใช้ไม้ เฆี่ยนที่ก้นคนละทีสองทีเพื่อให้หลาบจำ ทำให้บรรดาญาติ ๆ ของเด็ก ๆ ที่หากินอยู่ในวัดพระมหาธาตุ ฯรวมตัวกันมาเอาเรื่อง ดุด่าเจ้าหน้าที่อย่างรุนแรงหยาบคาย และยังเรียกร้องค่าเสียหายกับเจ้าหน้าที่หากไม่ยอมจ่ายก็จะแจ้งความดำเนิน คดีกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ไม่อยากให้เรื่องลุกลามใหญ่โตออกไปจึงยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับ เด็ก ทำให้เด็กและพ่อแม่ญาติพี่น้องได้ใจลักลอบปีนขึ้นไปเก็บเหรียญบนองค์พระ บรมธาตุเจดีย์ จนนักท่องเที่ยวถ่ายภาพลงในเว็บไซต์ของผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชดัง กล่าว

          อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่จะได้ประชุมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้ต่อไป และอยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ด้วย เพราะหากปล่อยให้เจ้าหน้าที่วัดดำเนินการฝ่ายเดียวจะเกิดปัญหากับพ่อแม่ญาติ พี่น้องของเด็กเหล่านี้อย่างแน่นอน



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

Ecosway ,
cosway ,
mlm ,
Hexagon ,
F2-21 ,
Ecomax ,
Caviar Deluxe ,
cell-lift advarce ,
Purewhite II ,
biogo ,

แท็กซี่มอมยา นาตาลี เตือนภัยให้ผู้หญิงระวัง


แท็กซี่มอมยา 'นาตาลี' แฉเล่ห์โจรเตือนภัยให้ผู้หญิงระวัง (ไทยรัฐ)

          เกือบเป็นเหยื่อ "แท็กซี่โจร" ถูกพาไปปู้ยี่ปู้ยำหรือปลดทรัพย์หมกป่าข้างทางที่ไหนซะแล้ว โชคดีที่ได้บีบีช่วยชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ดาราสาวสุดเซ็กซี่ นาตาลี เดวิส เล่าให้ฟังทั้งที่ใจยังไม่หายหวาดเสียวว่า 

        นาตาลี : เรื่อง เกิดขึ้นเมื่อวาน (6 ม.ค.) นี่เอง ตอนประมาณเที่ยงหนูโทร.เรียกรถแท็กซี่จากศูนย์ใหญ่ศูนย์หนึ่งมารับที่บ้าน ย่านเพชรเกษม เพื่อจะไปงานแถวสโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีฯ  ปกติก็ขับรถเองไม่ได้นั่งแท็กซี่นานแล้ว แต่วันนั้นที่บ้านไม่มีรถ เลยต้องนั่งแท็กซี่ พอขึ้นรถเรานั่งเบาะหลังฝั่งเยื้องคนขับ ซึ่งเค้าอายุประมาณ 30 นิดๆ หน้าตาดูดุๆ โหดๆ ก็บอกคนขับว่าให้ขึ้นทางด่วนไปเลย แต่เค้าบอกว่าไม่ต้องขึ้นหรอก เดี๋ยวพาไปอีกทาง เราก็พูดแย้งเค้า จนยอมขับไปขึ้นทางด่วน แถมเค้ายังจำหนูได้เรียกชื่อว่าคุณนาตาลีด้วย ซักพักเราก็หยิบบีบีขึ้นมาเล่นกับเพื่อน นั่งไปซัก 20 นาที หันไปเห็นคนขับแท็กซี่เอาครีมทามือขึ้นมาทา ก็ยังแอบขำๆ ว่าไม่เข้ากับหน้าตาเค้าเลย บีบีบอกเพื่อน เพื่อนได้ฟังก็บอกว่าต้องระวังนะ เพราะเคยอ่านในฟอร์เวิร์ดเมล์ มันเป็นขั้นตอนของการที่แท็กซี่จะมอมยาเรา ถ้าเค้ายกน้ำขึ้นมาดื่มต่อ แปลว่าจะมอมยาเราแน่ เราก็พิมพ์ในบีบีบอกเพื่อนไปว่าไม่หรอก เท่านั้นแหละ เค้าก็หยิบน้ำมาดื่มจริงๆ เราก็เริ่มกลัวแล้ว ก็บีบีกับเพื่อนตลอด 

          พอ ถึงด่านจ่ายค่าทางด่วน เค้าต้องเปิดกระจกลง อากาศข้างนอกก็เข้ามา แล้วพอขึ้นทางด่วนปิดกระจก เค้าก็ปรับแอร์หันมาทางข้างหลัง เราก็เริ่มรู้สึกว่าความดันต่ำๆ ใจหวิวๆ มือเท้าเริ่มชา สังเกตได้ว่าเค้ามองเราทางกระจกตลอด แต่หนูก็พยายามฝืนทำปกติ บีบีบอกเพื่อนตลอด พอใกล้จะลงทางด่วนดินแดง เราก็บอกให้ชิดซ้าย เค้าก็ทำเป็นไม่ยอมทำ ตอนนั้นเรารู้สึกจะอ้วก มึนแทบไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังทำเสียงแข็ง ยังพูดตอบโต้ เค้าบอกว่าจะไปยูเทิร์นให้ แต่เราบอกว่าไม่ต้อง จอดเลยๆ เพราะรีบ เดี๋ยวเดินย้อนมาเอง เค้าเลยยอมจอด เราก็รีบลงมาทันที เชื่อว่าถ้าเลยไปไกลอีกนิดคงไม่ไหวและสลบไปแน่ๆ

 คิดว่าที่รอดมาได้เพราะอะไร?

        นาตาลี : เพราะ มีเพื่อนเตือนนี่แหละ  และเราก็เคยได้อ่านได้เห็นข่าวในทีวีว่าต้องระวังยังไง ตอนนั้นเราก็มีสติ ทำใจดีสู้เสือ  พยายามให้เค้าเห็นว่าเราไม่กลัว เลยรอดมาได้

 วันนั้นแต่งตัวเซ็กซี่รึเปล่า?

        นาตาลี : ไม่เลยค่ะ ใส่เสื้อยืดตัวยาว กับเลคกิ้ง ธรรมดามาก

 หลังจากนั้นทำไงต่อ?

        นาตาลี : พอ ลงมา นั่งเวียนหัว มือเท้าชาอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะหาย และรีบโทร.กลับไปที่ศูนย์แท็กซี่แห่งนั้นว่าเกิดเหตุแบบนี้ เค้าก็บอกว่าศูนย์เป็นเพียงตัวเชื่อมระหว่างแท็กซี่กับผู้โดยสาร แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของแท็กซี่ เนี่ยหลายคนก็บอกให้ไปแจ้งความ แต่เราคิดว่าไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต

 ที่บ้านว่าไงบ้าง?

        นาตาลี : คุณ แม่ก็บอก บอกแล้วว่าอย่านั่งแท็กซี่ ถ้าจำเป็นก็ต้องแต่งตัวให้มิดชิด นี่ขนาดกลางวันแท้ๆยังเกิดเรื่องได้ ก็อยากให้ทุกคนระวังตัวนะคะ อย่าคิดว่าเรียกแท็กซี่ศูนย์จะปลอดภัย อย่าแต่งตัวล่อตาล่อใจ พยายามโทร.บอกทะเบียนรถกับคนอื่น ที่สำคัญห้ามนั่งหลับ และมีสติตลอดเวลาค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

บินอุบลฯระทึก กระจกร้าว ก่อนร่อนจอด


บินอุบลฯระทึก กระจกร้าว ก่อนร่อนจอด (ไทยรัฐ)

        เมื่อเวลา 20.20 น.วันที่ 8 ม.ค. ได้มีผู้โดยสารของสายการบินไทย ที่จะเดินทางจากสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เที่ยวบินที่ ทีจี 031 เครื่องบินโบอิ้ง 737 ได้โทรศัพท์มาแจ้งขอให้ผู้สื่อข่าวช่วยตรวจสอบด้วยว่า เหตุใดเครื่องบินของบริษัทการบินไทยในเที่ยวบินดังกล่าว จึงไม่สามารถบินขึ้นได้ ทั้งที่ตามตารางการบิน จะต้องบินขึ้นเวลา 19.00 น. ซึ่งทางสถานีการบินไทย ได้ประกาศให้ผู้โดยสารทราบเพียงว่า เครื่องบินขัดข้อง ต้องรอเครื่องบินลำใหม่จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิบินมารับเวลาประมาณ 22.45 น. จึงจะสามารถเดินทางได้ 

        จากกรณีดังกล่าวทราบว่า เครื่อง บินโบอิ้ง 737 ของการบินไทย เที่ยวบินที่ ทีจี 030 ซึ่งบินมาจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 17.15 น. ถึงปลายทางอุบลราชธานี เวลา 18.20 น. ได้ประสบเหตุกระจกหน้าที่ห้องนักบินร้าว ขณะบินมาได้ครึ่งทาง กัปตันจึงต้องลดระดับเพดานบิน ประคองเครื่องมาร่อนจอดทางด้านทิศเหนือของสนามบิน เพื่อไม่ให้เครื่องบินประทะกับแรงลม ซึ่งตามปกติ จะต้องลงจอดทางด้านทิศใต้ การลงจอดเป็นไปอย่างปลอดภัย แต่กัปตันไม่สามารถนำเครื่องบินเสี่ยงขึ้นบินกลับได้ จึงต้องจอดรอการเปลี่ยนกระจกใหม่ และจัดเครื่องบินลำใหม่มารับผู้โดยสารไปยังสุวรรณภูมิ ซึ่งจำนวนผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้มีจำนวน 115 คน แจ้งความจำนงขอเลื่อนเที่ยวบิน จำนวน 7 คน


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



อภิสิทธิ์ วิดิโอลิ้งค์ - ทักษิณ โฟนอิน วันเด็ก

อภิสิทธิ์ นายก - ทักษิณ ชินวัตร

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

          สำหรับงานวันเด็กแห่งชาติ ปี 2553 หลายหน่วยงานทั่วประเทศเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างความสุขให้แก่เด็กไทยทั้วประเทศ ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้คำขวัญวันเด็กประจำ ปี 2553 ไว้ว่า "คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม" พร้อม ยังให้โอวาทในเชิงเตือนสติเด็กไทยให้รู้จักการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง และระมัดระวัง เพราะหากใช้ในทางที่ผิด ก็จะเป็นเหมือนดาบสองคมที่สามารถให้คุณให้โทษ

          ขณะที่ จ.เชียงใหม่ นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งมอบคำขวัญวันเด็กของท่านส่งตรงมามอบให้กับลูกหลานคนเสื้อแดง และเด็กไทยเป็นการพิเศษด้วย โดยคำขวัญของพ.ต.ท.ทักษิณที่ฝากมาอวยพรในวันเด็กปีนี้คือ "อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี" และ ยังมอบของขวัญชิ้นพิเศษสุดฝากมาให้กับเด็ก ๆ ที่จะเข้ามาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดง เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีขนาดเล็ก ยี่ห้อแบล็คเบอรี่ จำนวน 1 เครื่อง กับเด็กผู้โชคดี ซึ่งจะจับสลากรางวัลเด็กผู้โชคดีจากเด็กทั้งหมดที่มาร่วมงานและในเวลาประมาณ 09.00-10.00 น. นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินเข้ามาอวยพรวันเด็กด้วย

          ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ได้สั่งให้มีการจัดเตรียมห้องประชุมใหญ่บนศาลากลาง จ.เชียงใหม่ไว้ให้พร้อม  เนื่องจาก นายอภิสิทธิ์ มีกำหนดที่จะวิดิโอคอนเฟอร์เร้นท์เข้ามามาพูดคุยอวยพร ให้กับเด็ก ๆ  เช่นเดียวกับ 5-6 จังหวัดใหญ่ทั่วประเทศพร้อมกับที่ทำเนียบฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีการโฟนอินโทรศัพท์ข้ามประเทศ มาอวยพรปีใหม่ให้กับลูกหลานคนเสื้อแดงที่จะไปร่วมงานวันเด็ก ที่กลุ่มคนเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 กำหนดจัดคู่ขนานกับหน่วยงานรัฐและเอกชน ที่หน้าโรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลซ หลังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมืองเชียงใหม่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


สะท้อนปัญหาเด็กไทย ในวันเด็กแห่งชาติ


สะท้อนปัญหาเด็กไทย ในวันเด็กแห่งชาติ (ไทยรัฐ)

         "คิด สร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้  เชิดชูคุณธรรม" นั่นคือคำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2553 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มอบเอาไว้เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทย นำหลักแนวทางดังกล่าวนี้ไปประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรมความดี และบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวม เพื่อช่วยกันนำพาบ้านเมืองไปสู่ความสุขสงบก้าวหน้ารุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป


         แต่ ปัจจุบันนี้  ทุกคนคงต้องยอมรับว่า เด็กและเยาวชนไทยส่วนใหญ่ยังคงมีปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขกันเป็น จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด  ลักขโมย ทะเลาะวิวาท อบายมุข เด็กเร่ร่อน ซึ่งเริ่มกลายเป็นปัญหาสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ 

         สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นโจทย์ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องร่วมมือกันเร่งแก้ไข เพื่อยุติปัญหา ความรุนแรง ไม่ให้แผ่วงกว้างเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้



         "ครูหยุย"  วัลลภ ตังคณานุรักษ์   กรรมการเลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก    สะท้อนความคิดเห็นกรณีดังกล่าวผ่านมุมมองนี้ ว่า   ทุกวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทย เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปีๆ  โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด เนื่องจากจะพบว่าเด็ก วัยรุ่น  เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ค้าเริ่มเข้ามาเน้นกลุ่มเยาวชนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นวัยที่อยากเรียนรู้และอยากทดลอง  รวมไปถึงปัญหาการกระทำความรุนแรงต่อเด็กที่เกิดขึ้นจากครอบครัว  ทำให้เด็กต้องหนีออกจากบ้านและกลายเป็นเด็กเร่ร่อนไปในที่สุด

         " ครูหยุย" บอกด้วยว่า ปัญหาทั้งหมดรัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการแก้ไขโดยด่วน ทั้งเรื่องการกวาดล้างยาเสพติด และการแก้ปัญหาการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก รวมทั้งปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจัง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนไทยให้เพิ่มขึ้นมากกว่านี้  เพราะแนวโน้มเด็กที่มีปัญหา มีจำนวนตัวเลขเพิิ่มขึ้นทุกๆปี  หากเด็กกลุ่มนี้ขาดการช่วยเหลือ ดูแลหรือควบคุมความประพฤติ  อาจเกิดผลกระทบตามมาภายหลังได้



         "สำหรับวันเด็กปีนี้ เชื่อว่าหน่วยงานทั้งรัฐบาลและเอกชนหลายแห่ง คงจัดกิจกรรมเพื่อเด็กกันเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างความสุข ความสนุกและรอยยิ้มให้กับเด็กๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดนั้นต้องอย่าลืมว่ายังมีเด็กและเยาวชนอีกจำนวนหนึ่งที่ ไม่มีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมในวันนี้ เนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ไปไม่ถึงพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น  เด็กพิการ เด็กที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บนเขาบนดอย  หรือในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งในความเป็นจริงต้องยอมรับด้วยว่า หากจะให้วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงนั้น ทุกหน่วยงานต้องกระจายอำนาจเข้าไปดูแลให้ทั่วถึง อย่าปล่อยให้เด็กเหล่านี้ต้องรอคอยอย่างไม่มีความหวัง"

         ครูหยุย กล่าวทิ้งท้ายว่า วันเด็กในปีนี้ อยากขอให้ทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด  เพราะวันเด็ก เป็นอีกหนึ่งวันที่สะท้อนความคิดและการกระทำของผู้ใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านช่วงเวลานั้นมา  ดังนั้น ไม่ว่าจะคิด ทำสิ่งใดก็ตาม ขอให้นึกถึงสิ่งที่สำคัญและมีประโยชน์กับคนทุกฝ่ายให้มากที่สุด  โดยเฉพาะกับปัญหาของเด็กและเยาวชนที่รัฐบาลต้องหันมาใส่ใจและเร่งดำเนินการ การแก้ไขโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาสังคมในอนาคตต่อไป



         ด้านนายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์  หรือ "น้องต้นไม้" ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย  บอก ว่า  สำหรับวันเด็กในปีนี้ อยากให้เป็นปีที่รัฐบาลเริ่มจริงจัง และเห็นความสำคัญของการเดินหน้าพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของเด็กและเยาวชนให้ เต็มที่มากกว่านี้ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะแสดงผลงานให้เห็นแล้ว แต่มีนโยบายบางส่วน ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนได้ทั้งหมด หากรัฐบาลต้องการที่จะผลักดันและส่งเสริมคุณภาพชีวิตอย่างจริงจัง ควรส่งเสริมนโยบายที่เข้ากับการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยตรง เชื่อว่าหากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว เด็กและเยาวชนจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพที่ดีในอนาคตได้

         นอกจากนี้ วันเด็กแห่งชาติ ปี 2553  ที่ตรงกับวันที่ 9 ม.ค.นี้  ตนในฐานะของประธานสภาเด็กและเยาวชนฯ อยากเห็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ศึกษาและเรียนรู้คำว่าเสียสละให้มากขึ้น ไม่อยากให้หมกหมุ่นอยู่กับปัจจัยที่เป็นวัตถุสิ่งของและเงินทองเพียงอย่าง เดียว และที่สำคัญการเสียสละถือเป็นกำลังใจอย่างหนึ่งที่ช่วยให้บุคคลที่กำลัง ประสบปัญหาลุกขึ้นมาต่อสู้ได้

         ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเหตุผลที่สะท้อนความคิดให้ทุกคนเริ่มจริงจังกับปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ควรปล่อยให้เนื้อร้ายกระจายเข้ามาทำลายชีวิตของเด็กที่เปรียบเสมือน อนาคตของชาติอีกต่อไป  แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะเห็นเด็กไทยได้โอกาสที่ดีกับเขาเสียที




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก